11-29-2016, 01:27 PM
การวิจัยและพัฒนาระบบการปลูกพืชในพื้นที่ชลประทาน
จันทนา ใจจิตร, วิไลวรรณ พรหมคำ, วันชัย ถนอมทรัพย์, สมชาย บุญประดับ, ชวนชื่น เดี่ยววิไล, ธำรง ช่วยเจริญ, พรทิพย์ แพงจันทร์, นิรมล ดำพะธิก และหฤทัย แก่นลา
จันทนา ใจจิตร, วิไลวรรณ พรหมคำ, วันชัย ถนอมทรัพย์, สมชาย บุญประดับ, ชวนชื่น เดี่ยววิไล, ธำรง ช่วยเจริญ, พรทิพย์ แพงจันทร์, นิรมล ดำพะธิก และหฤทัย แก่นลา
การวิจัยและพัฒนาระบบการปลูกพืชอย่างยั่งยืนในเขตชลประทาน ระหว่างปี พ.ศ.2554 - 2558 มีวัตถุประส่งค์เพื่อศึกษาระบบการปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เกษตรกรในเขตชลประทานและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชในพื้นที่ของเกษตรกรในเขตชลประทาน ดังนี้ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน การใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าวิเคราะห์ดินร่วมกับการใช้ปุ๋ยชีวภาพทำให้ลดต้นทุนในระบบการปลูกพืชได้ร้อยละ 9 - 12 การใช้หัวพันธุ์มันฝรั่งของกรมวิชาการเกษตร ผลผลิตและผลตอบแทนมากกว่ากรรมวิธีเกษตรกร และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน (Benefit Cost Ratio, BCR) ของกรรมวิธีทดสอบสูงกว่ากรรมวิธีเกษตรกรในทุกระบบพืช พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ระบบข้าว - มันเทศถั่วเขียว และระบบข้าวพริกซอสข้าวโพดฝักอ่อนให้ผลตอบแทนมากกว่าการปลูกข้าวมากกว่าร้อยละ 20 ในเขตจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย ตามลำดับ ส่วนระบบการปลูกพืชแบบผสมผสานที่มีไม้ผลเป็นพืชหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คือ การปลูกมะปราง (มะยงชิดพันธุ์ทูลเกล้า) + ชะอม + ผักต่างๆ ให้ผลตอบแทนรวมทั้ง 5 ปี ระหว่าง 9,795 – 41,192 บาท/ไร่ จังหวัดสุโขทัย คือ การปลูกชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ + พืชรอง (มะละกอ + เพกา) + ตะไคร้ + พืชผักต่างๆ ให้ผลตอบแทนรวมทั้ง 5 ปี ระหว่าง 52,333 – 126,601 บาท/ไร่ และจังหวัดพิจิตร คือ การปลูกมะนาว + กล้วยหอมทอง + พริกซอส ให้ผลตอบแทนรวมทั้ง 5 ปี 63,110 บาท/ไร่ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนพบว่า ระบบข้าวถั่วเขียว มีผลตอบแทนน้อยกว่าทุกระบบ แต่เกษตรกรยังมีความต้องการปลูกถั่วเขียว หลังการเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ส่วนระบบข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะพบปัญหากระทบแล้งในช่วงการออกดอกของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มีผลต่อการติดเมล็ดและทำให้ผลผลิตต่ำ และระบบข้าวถั่วลิสง เป็นระบบการปลูกพืชที่เกษตรกรมีความพึงพอใจมากกว่าระบบการปลูกพืชอื่นๆ และการผลิตข้าวโพดฝักสดและมะเขือเทศ ในพื้นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนม พบว่าการผลิตมะเขือเทศจะให้ผลตอบแทนแก่เกษตรกรสูงกว่าระบบการผลิตข้าวโพดฝักสด พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในพื้นที่ชลประทานโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พบว่าระบบข้าวถั่วลิส่ง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 9,959.60 บาท/ไร่ สูงกว่ากรรมวิธีเกษตรกร ระบบข้าวข้าวนาปรัง ซึ่งได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 2,284.60 บาท/ไร่ ซึ่งเกษตรกรมีความพึงพอใจมาก สำหรับระบบข้าวข้าวโพดข้าวเหนียว ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 1,908 บาท/ไร่ เกษตรกรมีความพึงพอใจน้อยกว่าระบบข้าวถั่วลิส่ง พื้นที่ภาคกลาง ในพื้นที่ชลประทานโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าทุ่งวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พบว่าระบบข้าวถั่วเหลืองฝักสด ข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวถั่วลิส่ง ให้ผลผลิตตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 16,597 6,672 และ 11,197 บาท/ไร่ ตามลำดับ มากกว่าระบบข้าวข้าวนาปรังร้อยละ 41.84 43.72 และ 104 ตามลำดับ ส่วนระบบข้าวข้าวโพดฝักสด และข้าวถั่วเขียว ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบต่ำกว่า 3 ระบบแรก พื้นที่ชลประทานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชัณสูตร จังหวัดสิงห์บุรี พบว่าระบบข้าวข้าวโพดฝักสด ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 8,887 - 17,883 บาท/ไร่ มากกว่าระบบข้าวข้าวนาปรังร้อยละ 7.8 - 48.66 ระบบข้าวถั่วเหลืองฝักสด และระบบข้าวถั่วลิส่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 32,819 และ 20,094 บาท/ไร่ ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าระบบข้าวข้าว นาปรัง ร้อยละ 139.3 และ 38.12 ตามลำดับ และระบบการปลูกพืชในพื้นที่อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง พบว่าระบบข้าวข้าวโพดฝักสด ข้าวถั่วเขียว และข้าวถั่วเหลืองฝักสด กรรมวิธีทดสอบทุกระบบให้ผลตอบแทนมากกว่าร้อยละ 50 ดีกว่ากรรมวิธีเกษตรกร เช่นเดียวกับพื้นที่บูรณาการโครงการชลประทานชัยนาท อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ระบบที่นำไปทดสอบ ได้แก่ ระบบข้าว - ถั่วเขียว และข้าวข้าวโพดฝักสดให้ผลตอบแทนมากกว่ากรรมวิธีเกษตรกร ส่วนพื้นที่ชลประทานโครงการชลประทานกำแพงเพชร ตำบลตาขีด อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ พบว่าระบบข้าวถั่วเหลืองฝักสด และระบบข้าวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 17,533 และ 10,512 บาท/ไร่ ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าระบบข้าวข้าวนาปรังร้อยละ 107.9 และ 29.51 ตามลำดับ พื้นที่ภาคตะวันออก ระบบการปลูกพืชในพื้นที่ไม้ผลเป็นหลัก พบว่าระบบกล้วยไข่ + มังคุด ให้ผลผลิต 870 และ 855 กิโลกรัม/ไร่ ตามลำดับ และมีรายได้ 19,201 และ 25,657 บาท/ไร่ ตามลำดับ มากกว่าการปลูกมังคุดเพียงพืชเดียว 20,686 บาท/ไร่ คิดเป็นร้อยละ 85.58 ส่วนระบบกล้วยไข่ + ลองกอง มีผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งระบบ 29,725 บาท/ไร่ มากกว่าการปลูกลองกอง เพียงพืชเดียวร้อยละ 89.30 ระบบกล้วยไข่ + ทุเรียน มีผลตอบแทนเฉลี่ย 11,086 และ 90,000 บาท/ไร่ ตามลำดับ ระบบกล้วยไข่ + ลำไย มีผลตอบแทนเฉลี่ย 49,436 และ 9,989 บาท/ไร่ ตามลำดับ