06-04-2019, 09:54 AM
วิจัยวัตถุมีพิษการเกษตรจากสารธรรมชาติจากพืช
ธนิตา ค่ำอำนวย, พรรณีกา อัตตนนท์, ภัควรินทร์ ศานติธีรโรจน์, ธิติยาภรณ์ อุดมศิลป์, ศิริพร สอนท่าโก, ณัฐพร ฉันทศักดา, อัณศยา พรมมา , พจนีย์ หน่อฝั้น, สุภานันทน์ จันทร์ประอบ, คมสัน นครศรี, ภัทร์พิชชา รุจิระพงศ์ชัย, ธัญชนก จงรักไทย, พจมาลย์ แก้ววิมล, สุวลักษมิ์ ไชยทอง, สาธิดา โพธิ์น้อย และเสาวภาคย์ สุขประเสริฐ
ธนิตา ค่ำอำนวย, พรรณีกา อัตตนนท์, ภัควรินทร์ ศานติธีรโรจน์, ธิติยาภรณ์ อุดมศิลป์, ศิริพร สอนท่าโก, ณัฐพร ฉันทศักดา, อัณศยา พรมมา , พจนีย์ หน่อฝั้น, สุภานันทน์ จันทร์ประอบ, คมสัน นครศรี, ภัทร์พิชชา รุจิระพงศ์ชัย, ธัญชนก จงรักไทย, พจมาลย์ แก้ววิมล, สุวลักษมิ์ ไชยทอง, สาธิดา โพธิ์น้อย และเสาวภาคย์ สุขประเสริฐ
โครงการวิจัยวัตถุมีพิษการเกษตรจากสารธรรมชาติในพืช เป็นโครงการวิจัยเพื่อที่จะนำสารสกัดจากพืชที่มีศักยภาพมาใช้ลดหรือทดแทนสารเคมีป้องกันกำจัด ประกอบด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมวิจัยผลิตภัณฑ์สารกำจัดศัตรูพืชจากน้อยหน่า ดำเนินการโดยทำการทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดน้อยหน่าในการควบคุมหนอนใยผัก พบว่าสารสกัดจากน้อยหน่าด้วยเมทานอลมีประสิทธิภาพในการควบคุมหนอนใยผัก จึงนำมาสกัดและตรวจสอบหาสารหรือกลุ่มสารออกฤทธิ์ พบว่าเป็นสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ทำการศึกษาวิธีการสกัดและตรวจหาตำแหน่งของสารสำคัญดังกล่าว โดยการวิเคราะห์หาเอกลักษณ์ทางโครมาโทกราฟี (HPTLC fingerprint) ของสารสกัดจากเมล็ดน้อยหน่า ด้วยวิธี HPTLC และทำการสกัดแยกต่อเพื่อให้ได้เป็นสารกึ่งบริสุทธิ์ เพื่อใช้เป็นสารอ้างอิงในการวัดปริมาณสารสำคัญในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ จากนั้นนำสารสกัดจากเมล็ดน้อยหน่ามาทำเป็นผลิตภัณฑ์สูตรเข้มข้น วิเคราะห์สารออกฤทธิ์ในสารสกัดและผลิตภัณฑ์ วิเคราะห์คุณภาพและทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้นของสูตรผลิตภัณฑ์ต่อหนอนใยผัก ซึ่งจากการวิจัยสูตรผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ พบว่าสูตรที่เหมาะสมในการทำผลิตภัณฑ์มี 2 สูตรคือ EC (emulsifiable concentrates) และ EW (emulsion in water) เมื่อนำมาศึกษาความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์สารสกัดน้อยหน่าที่ต่อลูกปลานิล (LC50) ที่ 96 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับ 0.123 มิลลิกรัม/ลิตร สูตรผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำไปต่อยอดศึกษาประสิทธิภาพต่อแมลงศัตรูพืชชนิดอื่นๆได้ในอนาคต กิจกรรมวิจัยผลิตภัณฑ์สารกำจัดวัชพืชจากแมงลักป่า นำแมงลักป่ามาสกัดน้ำมันหอมระเหย กลั่นด้วยวิธี Hydro Distillation ทำการศึกษาประสิทธิภาพและศึกษาหากลุ่มสารสำคัญของที่มีฤทธิ์ในการควบคุมวัชพืช โดยทดสอบกับไมยราบยักษ์ หญ้าข้าวนก ผักโขมหนาม ถั่วผี และไมยราบเลื้อย พบว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งการงอกและการเจริญเติบโต เมื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่อง GC-MS กลุ่มสารสำคัญในน้ำมันหอมระเหยที่ได้เป็นสารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ สารที่พบมากและเป็นองค์หลักในน้ำมันหอมระเหยจากแมงลักป่า ได้แก่ Sabinene, β-pinene, 1,8-cineole, trans-caryophyllene, caryophyllene oxide, abietatriene เป็นต้น จากนั้นนำน้ำมันหอมระเหยของแมงลักป่ามาวิจัยเป็นสูตรผลิตภัณฑ์ ทำการทดสอบประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์สูตร โดยพิจารณาผลการยับยั้งการงอกและการไมยราบยักษ์(ใบกว้าง)และเมล็ดหญ้าข้าวนก (ใบแคบ) และการวิเคราะห์หาปริมาณสาร Sabinene, 1,8-cineol, trans-caryophyllene ได้สูตรผลิตภัณฑ์เป็นสูตรสารละลายน้ำมันเข้มข้น (Emulsifiable concentrate : EC) 2 สูตร คือ ผลิตภัณฑ์สูตร A 40%EC และ ผลิตภัณฑ์สูตร B 40%EC มีอัตราที่ 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อนำศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลัน (LC50) ต่อลูกปลานิลที่ 96 ชั่วโมง พบว่า ผลิตภัณฑ์สูตร A 40%EC เท่ากับ 27.277 มิลลิกรัมต่อลิตร และผลิตภัณฑ์สูตร B 40%EC เท่ากับ 0.6584 มิลลิกรัมต่อลิตร
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญในการศึกษาเอกลักษณ์ทางโครมาโทกราฟีของสารสำคัญในพืชต่างๆจึงมีกิจกรรมศึกษาการใช้เทคนิคทีแอลซีสมรรถนะสูง (HPTLC)เพื่อทำมาตรฐานเอกลักษณ์โครมาโทกราฟีของสารสำคัญในพืช ดำเนินการวิจัยในพืช 5 ชนิด คือ สะเดา ส่วนของเมล็ดมีสารสำคัญเป็นกลุ่ม azadirachtin มีฤทธิ์ต่อหนอนใยผักมากที่สุด เมื่อทำการสารสกัดให้เป็นสารสกัดกึ่งบริสุทธิ์และหาเอกลักษณ์โครมาโทกราฟีของสารมีฤทธิ์ต่อหนอนใยผัก ด้วยเทคนิค HPTLC ได้ HPTLC fingerprint และเมื่อนำมาทดสอบด้วยวัฏภาคเคลื่อนที่ toluene/methanol/ ethyl acetate (10/1.2/3) พบสารสำคัญคือ azadirachtin a ที่ Rf 0.30 ส่วนของน้ำมันสะเดาและสารสกัดน้ำจากใบสะเดาพบว่ามีฤทธิ์ต่อหนอนใยผักด้วย ในน้ำมันพบสารสำคัญเทอร์ปีนอยด์ที่ Rf 0.51 (วัฏภาคเคลื่อนที่hexane/ethyl acetate (90/10)) ส่วนสารสกัดน้ำจากใบสะเดาสารสำคัญที่ Rf 0.30 และ 0.38 (วัฏภาคเคลื่อนที่ butanol/ethanol/water/acetic acid (114/42/32/0.2)) เมื่อนำสารสกัดสะเดาไทย สะเดาอินเดีย สะเดาช้างและผลิตภัณฑ์สะเดา มาตรวจวิเคราะห์สารออกฤทธิ์ด้วยวิธี HPTLC แล้วเปรียบเทียบข้อมูล HPTLC fingerprint ของสารออกฤทธิ์ ผลพบว่าสามารถตรวจสารบ่งชี้ได้ถูกต้องชัดเจน สามารถประเมินปริมาณสารออกฤทธิ์โดยรวมได้ หางไหล เมื่อสกัดสารจากรากหางไหลและทดสอบฤทธิ์ในหนอนใยผัก สารกลุ่ม Flavonoids ทำการแยกโดยสกัดต่อให้เป็นสารกึ่งบริสุทธิ์ ทดสอบฤทธิ์และตรวจวิเคราะห์หาเอกลักษณ์ทางโครมาโทรกราฟี (Fingerprint) ของสาร ด้วยวิธี HPTLC พบสาร tephrosin ที่ Rf 0.35, Rotenone ที่ Rf 0.51 และ deguelin ที่ Rf 0.52 และจากการสารกึ่งบริสุทธิ์ที่แยกได้ (DP5) วิเคราะห์ปริมาณ Rotenone ด้วยเครื่อง HPLC พบว่ามีความบริสุทธิ์สูงถึง 92.9% สามารถใช้พัฒนาต่อยอดเป็นสารมาตรฐาน หรือผลิตภัณฑ์สูตรเข้มข้นต่อไป ส่วนหนอนตายหยาก ทำการสกัดสารและทำการทดสอบฤทธิ์ต่อหนอนใยผัก พบว่า ส่วนที่สกัดด้วยเฮกเซนและไดคลอโรมีเทนมีฤทธิ์ต่อหนอนใยผักสูง เมื่อทำการทดสอบกลุ่มสารทางพฤกษเคมี พบว่าเป็นสารกลุ่มแอลคาลอยด์ ศึกษาหาเอกลักษณ์โครมาโทกราฟีของสารด้วยเทคนิค HPTLC โดยใช้วัฏภาคเคลื่อนที่ดังนี้ Dichloromethane : Ethyl acetate : Methanol : Ammonium hydroxide (50:45:4:0.1) ในหนอนตายหยาก 3 ชนิดพบสารแอลคาลอยด์ในหนอนตายหยากจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี (ชนิด Stemona phyllantha Gagnep) ที่ Rf 0.41 และ 0.69 ส่วนหนอนตายหยากจาก อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี(ชนิด Stemona spp.#1) พบที่ Rf 0.34 และนำผลิตภัณฑ์หนอนตายหยากทดสอบและเปรียบเทียบผล สามารถตรวจพบสารแอลคาลอยด์ แต่ให้เอกลักษณ์โครมาโทกราฟีแอลคาลอยด์ในตำแหน่ง Rf ที่แตกต่างออกไป แสดงว่าเป็นหนอนตายหยากคนละชนิด เนื่องจากหนอนตายหยากในประเทศไทยมีมากถึง 8 ชนิด สำหรับ ว่านน้ำ ทำการสกัดว่านน้ำด้วยเมทานอลและทดสอบฤทธิ์ต่อหนอนใยผัก นำส่วนที่มีฤทธิ์มาหาชนิดของสารหรือกลุ่มสารทางพฤกษเคมี แล้วทำการสกัดแยกให้ได้สารกึ่งบริสุทธิ์ ศึกษาระบบวัฏภาคของเหลวพบว่า Dichloromethane/ethylacetate (96/4) มีความเหมาะสมในการแยกสารสำคัญที่สุด เมื่อตรวจสอบเอกลักษณ์ของสารกึ่งบริสุทธิ์เปรียบเทียบกับสารมาตรฐานเบต้าอะซาโรนด้วยเทคนิค HPTLC พบว่าข้อมูลเอกลักษณ์โครมาโทกราฟีเหมือนกัน สาบเสือ ศึกษาการสกัดและทดสอบฤทธิ์ต่อหนอนใยผัก พบว่านสารสกัดหยาบจากปิโตรเลี่ยมอีเทอร์ และไดคลอโรมีเทน ส่วนที่มีฤทธิ์ในการควบคุมหนอนใยผัก เมื่อทำการทดสอบทางพฤกษเคมี พบเป็นสารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ และฟีนอล เมื่อศึกษาการหาเอกลักษณ์โครมาโทกราฟีของกลุ่มสารทั้ง 2 ชนิดจากสารสกัดหยาบสาบเสือ สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ตรวจสอบด้วยวัฏภาคเคลื่อนที่ ethyl acetate : hexane (1:9, v/v) ที่ 0.16, 0.33 และ 0.63 สำหรับสารกลุ่มฟีนอลตรวจสอบด้วยวัฏภาคเคลื่อนที่ dichloromethane : ethyl acetate : acetic acid (79:20:1, v/v/v)ที่ Rf 0.55 เมื่อนำสารมาตรฐาน lupeol และ trans-caryophyllene มาทดสอบด้วยวิธีที่ได้มาพบว่ามี Rf 0.16 และ 0.33 ตามลำดับ จะเห็นว่าตำแหน่ง Rf ของสารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ในสาบเสือเป็นตำแหน่งเดียวกับสารมาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตาม ควรพิสูจน์ความถูกต้องด้วยเทคนิค GC/MS และ HPLC เพื่อยืนยันชนิดสาร และทดสอบผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด พบว่าในผลิตภัณฑ์มีสารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ 3 ตำแหน่ง ที่ Rf แตกต่างจากสารสกัดสาบเสือ เป็นไปได้ว่าเป็นสารเทอร์ปีนอยด์ต่างชนิดกัน
สำหรับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณธาตุอาหารและปริมาณสารอะซาดิแรคตินในสะเดาไทยเพื่อให้ทราบถึงชนิดธาตุอาหารที่มีผลต่อปริมาณสาร โดยดำเนินการทดลองในสะเดาไทยแปลงพื้นที่อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ผลวิเคราะห์ธาตุอาหารและปริมาณสารอะซาดิแรคตินในเมล็ดสะเดาไทย พบว่า เมื่อมีปริมาณของธาตุแคลเซียม7และ7แมกนีเซียมในเมล็ดสูงจะพบปริมาณของสารสำคัญน้อย 7แต่สำหรับปริมาณของธาตุทองแดงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปริมาณสารอะซาดิแรคติน และศึกษาผลของธาตุอาหารหลักและปริมาณสารอะซาดิแรคติน โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized complete block (RCB) 3 ซ้ำ โดยใช้การใส่ปุ๋ยเป็นกรรมวิธี 8 กรรมวิธี และวิเคราะห์ปริมาณสารอะซาดิแรคตินในเมล็ดสะเดา พบว่า ปริมาณสารสำคัญอะซาดิแรคตินในแต่ละกรรมวิธีไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งนี้การดำเนินการในกิจกรรมนี้เป็นงานวิจัยเบื้องต้นและสะเดามีการให้ผลผลิตปีละครั้ง จึงเป็นการวิจัยเพียงระยะสั้น (1ปี) ซึ่งอาจต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้ธาตุอาหารเพิ่มปริมาณสารสำคัญ ปริมาณธาตุอาหารหลักที่เหมาะสมกับในการเพิ่มสารสำคัญสะเดา รวมถึงธาตุอาหารรองที่อาจมีส่วนช่วยในการเสริมปริมาณสารสำคัญ