นายอิทธิ ศิริลัทธยากรรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ ภายใต้หัวข้อ“การเฉลิมฉลองทศวรรษแห่งความร่วมมือ ในระดับภูมิภาคเพื่ออนาคตเกษตรกรรมที่ยั่งยืน” และงาน 10th Anniversary of ASEAN Climate Resilience Network (ASEAN-CRN) โดยมีนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ประธานเครือข่าย ASEAN-CRN นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ดร.พงศ์ไท ไทโยธิน รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน และผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ เข้าร่วมงานด้วย
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวเปิดการประชุม ผ่านวิดีทัศน์ ว่าประเทศไทยโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญต่อการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตร ได้มีนโยบาย เรื่อง 3R คือ Re-Habit การเปลี่ยนนิสัยหรือพฤติกรรมเกษตรกรในการทำการเกษตรจากแบบเดิมที่มีการเผาเป็นแบบไม่เผา Replace with High Value Crops ปรับเปลี่ยนโดยการปลูกพืชมูลค่าสูงเช่น ไม้ผลหรือพืชยืนต้นทดแทนพืชระยะสั้นที่มีการเผา และReplace with Alternate Crops ปรับเปลี่ยนพื้นที่นาปรังเป็นพืชสร้างรายได้อื่น และได้ยกระดับการดำเนินงานเป็น ING Model คือ ต้นแบบการผลิตพืชคาร์บอนต่ำ ด้วยการเพิ่มศักยภาพการผลิต การใช้นวัตกรรมในการผลิต และเพื่อให้บรรลุถึงความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงภาคการเกษตร ประเทศไทยตระหนักถึงความจำเป็นของการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรทุกภาคส่วนผ่านเวทีสำคัญนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การผลักดันของกลุ่มทำงานด้านงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรของอาเซียน (ATWGARD) ต่อไปยังการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส (SOM-AMAF Leader) และรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ (AMAF Leader) ต่อไปพร้อมนี้ ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในการผลักดันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรทุกภาคส่วนร่วมมือกันรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากกระบวนการเผา โดยหวังว่ารัฐมนตรีของอาเซียนจะสามารถร่วมกันประกาศความร่วมมือนี้ ในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ ครั้งต่อไปได้
ในการนี้ รมช.อิทธิ ยังได้กล่าวย้ำว่า ประเทศไทยจะเป็นผู้นำในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการ “ไม่เผาพืชทางการเกษตร และไม่รับซื้อ ไม่นำเข้า สินค้าเกษตรที่ผ่านการเผา” โดยขานรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5โดยเฉพาะมาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรที่มีการเผา ที่ได้กำหนดมาตรการ “งดรับซื้อพืชจากการเผา” ตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าพืชที่ผ่านการเผาทุกชนิดอย่างเด็ดขาด เพื่อลดปริมาณฝุ่นฯ ให้ได้มากกว่าปีที่ผ่านมา ผ่านประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร เพื่อกำหนดคุณสมบัติเกษตรกรที่จะเข้าร่วมในทุกโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะต้องไม่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตร ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2570 และหวังว่า การดำเนินการของประเทศไทยจะสามารถเป็นต้นแบบในภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชากร
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะประธานเครือข่าย ASEAN-CRN ได้กล่าวว่า นอกจากการร่วมมือในระดับภูมิภาคกับสมาชิกเครือข่าย ยังได้มีการขับเคลื่อนต้นแบบในระดับประเทศในด้านที่เกี่ยวกับการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศของไทย อาทิ การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีในภาคเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งการปรับปรุงพันธุ์ที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อม เทคโนโลยีการผลิตที่รองรับสภาวะอากาศวิกฤติ หรือการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้แก่ ระบบเกษตรอัจฉริยะ หรือการพัฒนาพันธุ์ด้วย GEdและได้ขยายผลเทคโนโลยีงานวิจัยเกี่ยวกับชีวภัณฑ์ และปุ๋ยชีวภาพ ในนาข้าวเพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ รวมถึงลดการเผา ได้ก่อตั้งกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร ที่ดำเนินการในเรื่องการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดในภาคการเกษตรโดยเฉพาะจากปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งเตรียมเจ้าหน้าที่เพื่อรับรองคาร์บอนเครดิตภายใต้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งกรมวิชาการเกษตรมีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมเป็น (Validation and Verification Body) VVB แล้วจำนวน 31 ราย รวมถึงจัดทำ platform เพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากการผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญ ตามกรอบโครงการ T-VER ของ อบก. ซึ่งปัจจุบันได้ baseline เบื้องต้นจากการดำเนินงานในพื้นที่นำร่องของกรมวิชาการเกษตรแล้ว ทั้งนี้ การขับเคลื่อนของไทย จะขยายผลจากพื้นที่นำร่องไปยังพื้นที่อื่นๆ ให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น และผลักดันให้มีผลครอบคลุมในระดับภูมิภาค เช่น การลดการเผาตามมาตรฐานการผลิตพืช หรือ GAP Zero burning ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับมาตรการกำหนดการนำเข้าผลผลิตจากประเทศคู่ค้าต่างๆ เป็นต้น