กรมวิชาการเกษตรหนุนผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน รุดถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มศักยภาพผลผลิต ชูเป็นพืชอายุเก็บเกี่ยวสั้น สร้างรายได้ให้เกษตรกรตลอดทั้งปี

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าปัจจุบันการผลิตพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย เนื่องจากมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี  กรมวิชาการเกษตรจึงได้จัดฝึกอบรม “เทคโนโลยีการผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือน” ภายใต้โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนพื้นที่ภาคตะวันออกเพื่อดำเนินการศึกษาการป้องกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชในโรงเรือนฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าปลอดสารเคมีมากขึ้น โดยโครงการนี้เน้นการใช้เทคโนโลยีการเพาะปลูกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการจัดการโรงเรือนที่มีประสิทธิภาพ

นางสาวนงนุช ช่างสี นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรีกล่าวว่า  เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดสระแก้วนิยมปลูกเมล่อนแต่ประสบปัญหาทั้งด้านผลผลิตและราคาศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ส่งเสริมและอบรมพัฒนาการผลิตฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ในโรงเรือนพื้นที่ภาคตะวันออกที่ให้ผลผลิตและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร  โดยฟักบัตเอร์นัท (Butternut Squash) หรือฟักน้ำเต้า เป็นผลไม้กลุ่มสควอช เป็นฟักชนิดหนึ่งที่มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกเป็นรายได้เสริม เป็นผักที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งฟักบัตเตอร์นัทไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานนุ่ม และเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อนเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ฟักบัตเตอร์นัทเป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น โดยใช้เวลาเพียง 75-100 วัน นับจากการเพาะเมล็ดจนถึงการเก็บเกี่ยว และสามารถให้ผลผลิตได้ 2-3 รุ่น และไว้ผลต่อต้นได้ 2-3 ผลต่อรุ่น ซึ่งต่างจากเมล่อนที่ให้ผลผลิตครั้งเดียวราคากิโลกรัมละ 60-120 บาท(ขึ้นอยู่กับคุณภาพและท้องที่การผลิต)นอกจากนี้ผลผลิตของฟักทองบัตเตอร์นัทสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้นานถึง 4-5 เดือนโดยที่คุณภาพไม่ลดลงสีและรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่สนใจ คือฟักทองบัตเตอร์นัทสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี ลักษณะเด่นคือ ผิวเรียบ ลื่น และมีสีครีมนวล เนื้อภายในมีความหนา และมีสีเหลืองทองที่น่ารับประทาน น้ำหนักเฉลี่ยของผลฟักบัตเตอร์นัทอยู่ที่ 0.4 – 0.8 กิโลกรัม รสชาติหวานมัน ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในเมนูอาหารหลากหลายชนิด

นางสาวนงนุช กล่าวต่อไปว่าศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี ได้ทำการศึกษาวัสดุปลูกฟักบัตเตอร์นัทอินทรีย์ ในโรงเรือนพบว่าดิน+ปุ๋ยหมักเติมอากาศ+ขุยมะพร้าว 1:2:1 ให้ผลผลิตจำนวนผลดีที่สุดตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ โดยให้จำนวนดอกบานเฉลี่ย 0.65 ดอก จำนวนการติดผล 11 ผล และน้ำหนักผลเท่ากับ 393.97 กรัม หากสำรวจพบแมลงศัตรูพืชแนะนำให้ป้องกันและกำจัดโดยใช้วิธีการฉีดพ่นสารสกัดจากธรรมชาติอย่าง D-limonene เป็นสารสกัดจากเปลือกส้มในอัตราส่วน 2 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นทุกสัปดาห์ต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนพบแมลงศัตรูพืชลดลงอย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์แรกที่ทำการฉีดพ่น  รวมทั้งใช้ไตรโคเดอร์มาผสมดินปลูก และฉีดพ่นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการเกิดโรคจากเชื้อราสาเหตุโรคพืช และควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโรค ที่อาจเกิดขึ้นในระบบราก ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยลดการใช้สารเคมี  อย่างไรก็ตามเมื่อเริ่มปลูกพืชเกษตรกรต้องหมั่นสำรวจพืชปลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทราบสถานการณ์ของศัตรูพืชและสภาพความแข็งแรงของพืชปลูก  หากพบต้นพืชที่เป็นโรคให้ถอนออกจากโรงเรือนทันทีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังต้นพืชอื่น ๆ ในโรงเรือนเกษตรกรที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรปราจีนบุรี โทรศัพท์ 037-210261,037-210262