ชื่อสามัญ กาแฟโรบัสต้า: พันธุ์ชุมพร 3 Robusta coffee
ชื่อวิทยาศาสตร์ coffea canephora Pierre ex Froehner
ชื่ออื่นๆ
ถิ่นกำเนิดและประวัติความเป็นมา
กาแฟโรบัสตา พันธุ์ชุมพร 3 หรือกาแฟโรบัสตา สายพันธุ์ FRT 17 เป็นกาแฟโรบัสตาที่ได้จากการนำพันธุ์กาแฟโรบัสตาจากต่างประเทศมาทดสอบ มีถิ่นกำเนิดในประเทศ Ivory Coast เป็นลูกผสมระหว่างกลุ่ม Guinean (G) กับ Congolese (C) ซึ่งศูนย์ความร่วมมือนานาชาติวิจัยและพัฒนาการเกษตร CIRAD (Centre de Cooperation Internationale en Recherche Agronomique pour le Developpement) ได้เก็บรวบรวมพันธุ์และได้ส่งมอบในรูปกิ่งตอนให้ศูนย์วิจัยเนสท์เล่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2532 และบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่โปรดักท์ส (ประเทศไทย) ได้นำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2538 เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพของผลผลิตไม่ได้มาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ โดยปี 2542 ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพรได้รับมอบต้นกล้ากาแฟโรบัสตาที่นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสดังกล่าวจำนวน 13 พันธุ์ และในปี 2543-2549 ได้ปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์ที่เกษตรกรปลูกเดิม สามารถคัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงได้จำนวน 5 สายพันธุ์ คือ FRT 65 FRT27 FRT 11 FRT 17 และ FRT 10 สรุปได้ดำเนินการคัดเลือกและประเมินพันธุ์ตามขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2538-2550 รวมระยะเวลาการวิจัย 13 ปี
ลักษณะทั่วไป
ลำต้นทรงพุ่มปานกลาง สูง 2.9 เมตร ขอบใบเรียว ปลายใบแหลม จำนวนผลต่อข้อ 11 ผล ดอกสีขาว รูปร่างผลยาวรี ปลายผลแหลม ผลผลิตเมล็ดกาแฟแห้งเฉลี่ย 4 ปี 207.8 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี อายุเก็บเกี่ยวสั้น 9 เดือน
พันธุ์และการขยายพันธุ์
กาแฟโรบัสตา: พันธุ์ชุมพร 3 การขยายพันธุ์ใช้วิธี การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และการเสียบยอด
วิธีการปลูก
1.ปลูกในช่วงต้นฝนโดยปลูกเสมอปากหลุมปลูก
2. ปักหลักไม้ผูกต้นกล้าป้องกันลมพัดต้นกาแฟโยก
3. ควรให้น้ำต่อเนื่องหลังจากปลูก 2-3 สัปดาห์หากไม่มีฝนตก
4. ควรทำร่มเงาชั่วคราวให้ต้นกล้ากรณีปลูกกลางแจ้ง
การดูแลรักษา
- การให้น้ำ ในช่วงปลูกใหม่ๆถ้าฝนไม่ตก ต้องมีการให้น้ำให้ดินชื้นสม่ำเสมอ ช่วงดอกตูมหลังจากที่ดอกเจริญเต็มที่แล้วดอกจะหยุดการเจริญเติบโต หรือเรียกได้ว่า “อยู่ในช่วงพักตัว” ช่วงนี้เป็นช่วงที่กาแฟไม่ต้องการน้ำ หลังจากดอกพักตัวเต็มที่แล้วเมื่อได้ฝนหรือน้ำจึงจะบานพร้อมเพรียงกัน หากปริมาณฝนไม่เพียงพอควรให้น้ำเพิ่มในช่วงนี้ นอกจากนั้น ช่วงติดผล และช่วงที่ผลขยายขนาดอย่างรวดเร็ว อย่าให้กาแฟขาดน้ำ ควรให้น้ำทุกๆ 3-4 สัปดาห์ต่อครั้งหากฝนไม่ตก
- การให้ปุ๋ย ในระยะกาแฟยังไม่ให้ผลผลิตใส่ปุ๋ยสูตร 46-0-0, 18-46-0 และ 0-0-60 หรือใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เมื่อให้ผลผลิตแล้ว (3 ปีขึ้นไป) ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 46-0-0, 18-46-0 และ 0-0-60 อัตรา 60 กรัมต่อต้น
- การตัดแต่งกิ่ง ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคหรือแมลง กิ่งแห้ง กิ่งแขนงที่ไม่ต้องการออกควรไว้กิ่งหลักเพียง 3-5 กิ่งก็เพียงพอที่กาแฟสามารถให้ผลผลิตได้ดี ไม่กระทบต่อผลผลิต
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญ
- โรคกิ่งแห้ง เกิดจากเชื้อรา Colletotrichum coffeanum Noack. และ Colletotrichum gloeosporioides (Penz.) Penz. and Sacc. อาการ มีรอยไหม้บนกิ่งสีเขียว ข้อและปล้องของต้นมีสีเหลืองซีด ใบเหลือง และร่วงในเวลาต่อมา กิ่งจะเหี่ยวและแห้ง ตาดอกเหี่ยว การทำลาย มักเกิดเมื่อสภาพแห้งแล้งเป็นเวลานานหรือเมื่อต้นพืชอ่อนแก่จากสาเหตุอื่นๆ เหมาะต่อเชื้อเข้าทำลายได้ การป้องกัน ตัดแต่งกิ่งเป็นโรคออกเผาทำลาย บำรุงต้นกาแฟให้แข็งแรง ใช้สารเคมีกำจัดเชื้อรา เช่น บอร์โดมิกซ์เจอร์ และ แมนโคเซป เป็นต้น
- หนอนเจาะต้นกาแฟสีแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Zeuzera coffeae เกิดกับต้นและกิ่งของกาแฟทั้งต้นเล็กและต้นให้ผลผลิตแล้ว การทำลาย หนอนเจาะต้นและกิ่งจนหักโค่นล้ม การป้องกันกำจัด ทำลายพืชอาศัยรอบบริเวณสวนกาแฟ หมั่นทำความสะอาดแปลง หากพบรอยหนอนเจาะเข้าทำลายตัดกิ่งนำไปเผาทำลาย
- มอดเจาะผลกาแฟ (Coffee Berry Borer) ชื่อวิทยาศาสตร์ Hypothenemus hampei (Ferrari) ตัวเต็มวัยเป็นด้วงปีกแข็ง ตัวเมียจะเจาะปลายผลกาแฟเข้าไปถึงส่วนของเนื้อเมล็ด วางไข่ขยายพันธุ์ตัวหนอนจะกัดกินเนื้อเยื่อเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยสามารถอาศัยอยู่ในผลกาแฟแห้งดำที่ตกค้างบนต้นและใต้ทรงต้น การป้องกันกำจัด เก็บผลกาแฟให้หมดอย่าทิ้งให้ค้างไว้บนต้น ทำกับดักล่อมอดทั้งในแปลง และโรงเก็บผลกาแฟแห้ง โดยใช้เมทิลแอลกอฮอล์ และเอธิลแอลกอฮอล์ อัตรา 1:1
การใช้ประโยชน์
- กาแฟคั่ว คือการนำสารกาแฟมาคั่วด้วยอุปกรณ์ตามประเภทของการคั่วแยกเป็นคั่วไฟแก่ คั่วไฟปานกลาง หรือคั่วไฟอ่อน แล้วยังสามารถปรุงแต่งความน่าดื่มน่าบริโภค ในภาชนะต่างๆกัน ตามสูตรผสมของผู้คั่วด้วย
- กาแฟสำเร็จรูป เป็นกาแฟที่ชงกับน้ำร้อนแล้วละลายหมดได้ทันทีโดยไม่มีกากกาแฟเหลืออยู่ สะดวกต่อการชงและการเก็บรักษา
แหล่งพืชอนุรักษ์
ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร พื้นที่ปลูกภายในศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร จำนวน 1 ไร่