ชื่อสามัญ ลางสาด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium parasiticum
ชื่ออื่นๆ เตียน, ล่อน, สะท้อน (ภาคใต้) มะต้อง (ภาคเหนือ, อุดรธานี) มะติ๋น (ภาคเหนือ) สตีย,า สะตู (มาเลย์- นราธิวาส) สะโต (มาเลย์-ปัตตานี)
ถิ่นกำเนิดและประวัติความเป็นมา
เกาะมาลายูหมู่เกาะชวา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เป็นไม้ผลเมืองร้อน มีลำต้นตรง สูงประมาณ 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นมุมแหลมกระจายกึ่งกลางลำต้นขึ้นไป ลักษณะปลายกิ่งตั้ง ส่วนผิวของลำต้นชั้นนอกมีสีเทาและขรุขระ เปลือกไม่หลุดออก เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยหรือในดินร่วนปนทราย เป็นต้นไม้ที่ชอบแสงแดด อากาศชื้นปานกลาง และมีน้ำปานกลาง
พันธุ์และการขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การติดตา และการต่อกิ่ง
วิธีการปลูก
การเตรีมหลุมปลูกขนาด 50×50×50 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักตัวสมบูรณ์แล้ว ระยะปลูกระหว่างแถว 6-8 ม.
การดูแลรักษา
ช่วงลงปลูกใหม่ต้องรดน้ำทุกวัน หรือเหมาะในการปลูกช่วงฤดูฝน บำรุงต้นโดยใส่ปุ๋ยเคมีทางดิน สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16ช่วงพัฒนาดอกและติดผล เมื่อพบการแตกใบอ่อน พ่นด้วยปุ๋ยทางใบ 3 ครั้ง ช่วงพัฒนาการของผลใส่ปุ๋ยทางดินสูตร 13-13-21 อัตรากิโลกรัมต่อต้น การให้น้ำในสวน พ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญ
1.โรคราสีชมพู เข้าทำลายกิ่ง โดยขึ้นปกคลุมกิ่ง เห็นเป็นเส้นใยสีขาวต่อมาเปลี่ยนเป็นสีชมพู ทำให้ใบเหลืองและกิ่งแห้ง มักพบระบาดมากในช่วงฝนชุก โดยเฉพาะในแหล่งปลูกที่มีความชื้นสูง เมื่อพบเชื้อราเริ่มเข้าทำลายตามกิ่งที่มีขนาดใหญ่ ควรใช้มีดขูดเปลือกกิ่งออกบางๆ แล้วทาด้วยสารเคมี เช่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์รอบๆกิ่งให้ทั่ว
2.หนอน กินใต้ผิวเปลือก กัดกินเปลือกล้าต้นและกิ่ง ทำลายท่อน้ำท่ออาหาร ทำให้ต้นทรุดโทรม มีการระบาดตลอดเกือบทั้งปี การป้องกันก้าจัด : ใช้ไส้เดือนฝอยสไตเนอร์นีมา อัตรา 40 ล้านตัวต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 2-3 ลิตรต่อต้น ตามกิ่งและลำต้นที่มีหนอนเข้าทำลายในตอนเย็น และควรพ่นไส้เดือนฝอยหลัง
ศัครูอื่นๆ ได้แก่ โรครากเน่า โรคผลเน่า โรคราดำ เพลี้ยไฟ แมลงวันผลไม้
การใช้ประโยชน์
โดยทั่วไปจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด เมล็ดของลางสาดมีสารอัลคาลอยด์ (Acid Alkaloid) ซึ่งเป็นพิษกับหนอนและแมลง สามารถนำมาใช้ทำเป็นยาฉีดพ่นกำจัดแมลงได้ พื้นที่ปลูกภายในศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา จำนวน 0.25 ไร่
แหล่งพืชอนุรักษ์
ศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา