ชื่อสามัญ ลองกอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lansium domesticum Corres
ชื่ออื่นๆ –
ถิ่นกำเนิดและประวัติความเป็นมา
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และทางภาคใต้ ของประเทศไทย
ลักษณะทั่วไป
ไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-15 ม. ขนาดทรงพุ่ม 6-10 ม. ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มรูปกรวยแผ่กว้าง แน่น เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ
ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับ ใบย่อย 5-7 ใบใบย่อยปลายรูปไข่กลับ ปลายใบ เป็นติ่งแหลม โคนใบมนเบี้ยว ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบค่อนข้างหนา และเหนียว ย่นเป็นลอน ใบสีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอก สีขาวอมเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่กิ่งแก่และลำต้น มีทั้งช่อดอกตั้งและช่อดอกห้อย
ผล ผลสดแบบมีเนื้อ ทรงกลมเป็นจุกหรือรูปไข่กลับ สีเขียวเข้ม เมื่อสุกสีน้ำตาลอมเหลืองเมล็ดมีเนื้อสีน้ำผึ้งใส ห่อหุ้มและติดกับแกนกลาง ผล มี 5 กลีบ เมล็ดรูปมนรี สีเหลืองอมเขียว 1-2 เมล็ดต่อผล
พันธุ์และการขยายพันธุ์
ลองกองแกแลแมร์ (ลองกองแปรแมร์), ลองกองคันธุลี ลองกองธารโต และลองกองกาญจนดิษฐ์ การขยายพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ ได้แก่ การเสียบยอด การทาบกิ่ง การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง
วิธีการปลูก
เลือกพื้นที่ปลูก ควรเป็นพื้นที่ราบ น้ำไม่ท่วมขัง ดินเป็นดินร่วน ระบายน้ำ ได้ดี ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-6.5 ภูมิอากาศ อุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ค่อนข้างสูง 70-80%
– พื้นที่ดอน ไถพรวน ปรับพื้นที่ให้เรียบ หากมีปัญหาน้ำท่วมขัง ให้ขุดร่องระบายน้ำ
– พื้นที่ลุ่ม ยกโคกปลูก หากมีน้ำท่วมขังมากและนานควรยกร่องสวนให้มีขนาดสันร่องกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร มีระบบระบายน้ำ เข้า-ออกเป็นอย่างดี
กำหนดระยะปลูกที่เหมาะสม คือ 4X 6 เมตร หรือ 6 X 6 หรือ 6 X 8 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ การเตรียมหลุมปลูกควรใส่ปุ๋ยคอก วัสดุปรับปรุงดิน ได้แก่ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยเคมีสูตร 0-3-0 (ร็อกฟอสเฟต) ผสมกับดินเดิมก่อนปลูก
การดูแลรักษา
การให้น้ำปีแรกที่ปลูกควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่ออายุ2 – 3 ปีควรให้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก) ใส่ปีละ 2 ครั้ง อัตรา 10 – 15 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี
ระยะก่อนออกดอก
- ใส่ปุ๋ย 8-24-24, 13-13-21
- ตัดแต่งกิ่งแขนง
- ให้น้ำสม่ำเสมอ
ระยะแทงช่อดอก
- งดน้ำอย่างน้อย 30-45 วัน
- สังเกตใบลองกองเหี่ยว ให้น้ำเต็มที่ 1 ครั้ง
- เมื่อเห็นตาดอกเริ่มให้น้ำสม่ำเสมอ
- ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 1 กก./ต้น
- พ่น GA3 100 มิลลิกรัม + น้ำ 1 ลิตร เพื่อยืดช่อ
- ตัดแต่งช่อดอกเหลือ 1-2 ช่อดอกต่อกลุ่มดอก ระยะช่อห่าง 25-30 เซนติเมตร
ระยะพัฒนาผล
- ตัดแต่งช่อผล 2-3 สัปดาห์ และ 7-8 สัปดาห์ หลังดอกบาน
- ใส่ปุ๋ย 13-13-21 อัตรา 1-2 กก./ต้น และให้น้ำสม่ำเสมอ
ระยะเก็บเกี่ยว
- เก็บช่อผลอายุ 13-15 สัปดาห์
- ก่อนเก็บควรชิมผลที่ปลายช่อ
- บีบผลปลายช่อรู้สึกนิ่ม
- ควรเก็บในช่วงอุณหภูมิต่ำช่วงเช้าหรือช่วงเย็น
ระยะหลังเก็บเกี่ยว
- ตัดแต่งกิ่งและขั้วช่อดอก
- ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 2 กก./ต้น/ปี ใส่ปุ๋ยคอก 20-25 กก./ต้น/ปี
- ป้องกันกำจัดโรคแมลง
- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
การตัดแต่งกิ่ง
– หลังจากการปลูก ตัดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 1.0-1.5 เมตร
– ตัดกิ่งที่ไม่ต้องการ รวมทั้งส่วนยอดที่สูงกว่า 1.5 เมตร ออก
– เลือกกิ่งแขนงที่แข็งแรง 4-6 กิ่ง กิ่งที่อยู่ต่ำสุดควรสูงจากพื้นดิน 80 เซนติเมตร
– เลือกกิ่งที่ทำมุมกว้าง ตัดแต่งทรงพุ่มโปร่ง และตัดกิ่งที่ทำมุมแคบกับลำต้นออก
– ตัดกิ่งยอดและกิ่งกระโดงที่แตกขึ้นมาใหม่
– กำหนดแนวทรงพุ่มให้อยู่ในกรอบของ 4 เมตร หรือแนวทรงพุ่มที่ต้องการ
โรคและแมลงศัตรูที่สำคัญ
โรค
1.โรคราสีชมพู เข้าทำลายกิ่ง โดยขึ้นปกคลุมกิ่ง เห็นเป็นเส้นใยสีขาวต่อมาเปลี่ยนเป็นสีชมพู ทำให้ใบเหลืองและกิ่งแห้ง มักพบระบาดมากในช่วงฝนชุก โดยเฉพาะในแหล่งปลูกที่มีความชื้นสูง เมื่อพบเชื้อราเริ่มเข้าทำลายตามกิ่งที่มีขนาดใหญ่ ควรใช้มีดขูดเปลือกกิ่งออกบางๆ แล้วทาด้วยสารเคมี เช่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์รอบๆกิ่งให้ทั่ว
2.โรคราดำ ลักษณะอาการพบคราบราสีดำติดตามส่วนของช่อดอก ช่อผล ทำให้ผลร่วง ซึ่งมักพบในสภาพความชื้นสูง ป้องกันกำจัดโดยพ่นสารเบนโนมิล 50% ดับบลิวพี อัตรา 6-12 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นบนช่อผลก่อนเก็บเกี่ยวทุก 14 วัน
ศัตรูอื่นๆ ได้แก่ โรครากเน่า โรคผลเน่า หนอนชอนใต้เปลือกผิว แมลงวันทอง
การใช้ประโยชน์
- โดยทั่วไปจะนิยมรับประทานเป็นผลไม้สด หรือแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม อุดมไปด้วยวิตามินบี และฟอสฟอรัส ช่วยขับเสมหะ ลดอาการร้อนในช่องปาก พื้นที่ปลูกภายในศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา จำนวน 15 ไร่
แหล่งพืชอนุรักษ์
ศูนย์วิจัยพืชสวนยะลา