โรคราน้ำค้าง หรือโรคใบลาย มีสาเหตุเกิดจากเชื้อรา Peronosclerospora sorghi เกิดโรคได้ตั้งแต่ข้าวโพดเริ่มงอก โดยพบจุดเล็กๆ สีเขียวฉ่ำน้ำบนใบอ่อน ต่อมาใบข้าวโพดมีสีเหลืองซีดโดยเฉพาะใบยอด หรือ ใบลายเป็นทางสีเขียวอ่อนสลับสีเขียวแก่ ในเวลาเช้ามักพบส่วนของเชื้อรา ลักษณะเป็นผงสีขาวจำนวนมากบนใบ บางครั้งพบยอดข้าวโพดแตกเป็นพุ่ม ต้นแคระแกร็น เตี้ย ข้อถี่ ไม่มีฝัก หรือมีฝักที่ติดเมล็ดน้อยหรือไม่ติดเมล็ดเลย ก้านฝักมีความยาวมาก หรือมีจำนวนฝักมากกว่าปกติ ข้าวโพดอายุ 1-3 สัปดาห์ จะอ่อนแอต่อโรคมาก
การป้องกันกำจัด
- ปลูกพันธุ์ต้านทาน เช่น พันธุ์นครสวรรค์ 3 นครสวรรค์ 4 และนครสวรรค์ 5
- คลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูก ด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 35% ดีเอส อัตรา 7-10 กรัม/เมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ เมทาแลกซิล-เอ็ม 35% อีเอส อัตรา 3.5 มิลลิลิตร/เมล็ด 1 กิโลกรัม หรือ ไดเมโทมอร์ฟ 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัม ต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม (สำนักวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร) หากใช้พันธุ์การค้าที่แนบสารคลุกเมล็ดมาด้วย ควรคลุกเมล็ดให้ทั่วก่อนปลูก
- ถอนต้นเป็นโรคออกไปทำลายนอกแปลงปลูก
- ปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรการระบาด
ปัจจัย/พื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคราน้ำค้าง
- ข้าวโพดที่ปลูกปลายฤดูฝน
- ข้าวโพดที่ปลูกฤดูแล้งหลังนา สภาพที่มีฝนตก อากาศเย็น
- เป็นแหล่งที่เคยมีการระบาด ฤดูที่ผ่านมามีโรคราน้ำค้างระบาด ในฤดูปลูกปัจจุบัน มีข้าวโพดแปลงข้างเคียงเกิดโรคราน้ำค้าง และต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดโรคโดยเฉพาะช่วงหลังปลูกจนถึงข้าวโพดอายุ 3 สัปดาห์ เช่น ฝนตกชุก ความชื้นสูง อากาศเย็น
- กรณีที่มีความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น เกษตรกรควรเลือกใช้พันธุ์ต้านทาน หรือคลุกเมล็ดพันธุ์ก่อนปลูกด้วยสารเคมีตามคำแนะนำข้างต้นร่วมกับการพ่นด้วยไดเมโทมอร์ฟ 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30-40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร โดยพ่นทุก 7 วัน 1-2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อข้าวโพดอายุ 5-7 วัน การพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชหลังจากข้าวโพดอายุ 20 วันขึ้นไป จะไม่สามารถป้องกันกำจัดโรคนี้ได้ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในช่วงต้นฤดูฝน หรือในพื้นที่ที่การระบาดไม่รุนแรง เน้นการป้องกันโรคด้วยการคลุกเมล็ด ร่วมกับการจัดการอื่นๆ เช่น ถอนทำลายต้นเป็นโรคออกไปทำลาย ปลูกพืชหมุนเวียน